วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

สิ้นศาสนา เข้าสู่กลียุค และยุคพระศรีอาริยเมตไตย


เนื่องด้วย พระเถระองค์นึง ชื่อ พระมาลัยเถระ ชื่ออาจจะซ้ำกับ พระโพธิสัตว์บ้างองค์ หรือ ซ้ำกับพระองค์อื่นๆ ท่านได้เสด็จไปบนสวรรค์ อ่านแล้วอย่าคิดมากนะครับ เป็นเรื่องเล่าต่อมาอีกทีนึง



พระศรีอาริยเมตไตยเสด็จ


อนึ่งเทพบุตรที่เป็นหัวหน้านั้นก็รูปร่างลออตาหาผู้ใดในสามโลกธาตรีมิมีเทียบเทียมได้ รัศมีแห่งวรกายของพระองค์นั้นสว่างไสวไพโรจน์โชติช่วงเป็นยิ่งนักดัง จักกลบรัศมีแห่งเทพยดาเทพนารีทั้งมวล ให้อับแสง แลสว่างไปทั่วทั้งพิภพดาวดึงสา เหล่าเทพยดาที่มาก่อนๆหน้าพากันอับรัศมีมิอาจจะแข่งบารมีได้ดั่งหิ่งห้อยอับ แสงไม่อาจแข่งรัศมีแห่งแสงจันทรา แต่รัศมีแห่งเทพบุตรองค์นี้มิอาจพรรณนาได้ด้วยว่าสว่างไสวมากกว่านับหมื่นนับแสนเท่า



ฝ่ายพระมาลัยเถระแลท้าวสักกบดีครั้นเมื่อเห็นขบวนของเทพบุตรองค์นี้เสด็จมา สมเด็จอัมรินทราธิราชจึงเสวนาการกับพระมาลัยว่า " ดูกรพระเถระ ขบวนที่ กำลังมานั่นคือขบวนของพระบรมโพธิสัตว์ เทพบุตรที่อยู่ตรงกลางรัศมีสว่างไสวไพบูลย์กว่าเทพยดาใดๆคือพระศรีอาริยเมตไตยหน่อพุทธางกูรในอนาคต บรรดา เหล่าเทพบุตรเทพธิดาที่นำหน้าทรงพัสตราอาภรณ์แลเครื่องประดับตลอดจนรัศมีสรีรกายก็ล้วนเป็นสีขาว ด้วยเหตุว่าเขาทั้งหลายในชาติก่อนนั้นครั้นถึงวันอุโบสถก็ พากันนุ่งผ้าขาวห่มผ้าขาว สมาทานศีลแปดอย่างเคร่งครัด ครั้นเวลาทำบุญนั้นวัตถุทานก็ทำด้วยข้าวของสีขาวอันสะอาดตาด้วยว่าใจรักในสีขาวนี้ ส่วนที่มีสีอื่นๆก็ กระทำดุจเดียวกันครั้นเมื่อถึงกาลกิริยาก็ได้มาบังเกิดเป็นบริวารของพระศรีอาริยเตไตย ในสวรรค์ชั้นดุสิต ขอรับพระคุณเจ้า "


ขณะที่พระมาลัยจะไต่ถามพระอินทร์ต่อก็พอดีกับพระศรีอาริยเตไตยได้พาขบวนเทพบริษัทมาถึงลานพระเจดีย์กระทำ ประทักษิณสิ้นสามรอบแล้วเข้าไปถวาย เครื่องสักการบูชานมัสการกราบไหว้เป็นปฐมก่อน แล้วจึงถอยออกมาเพื่อให้เหล่าเทพยดาบริวารพากันเข้าไปนมัสการบ้างตามลำดับ ก็พลันทอดพระเนตรเห็นพระ มาลัยแลท้าวสักกบดีที่ประทับอยู่ตรงมุมพระเจดีย์จึงเสด็จเข้าไปหาเพื่อนมัสการ




ครั้นนมัสการแล้วจึงประทับนั่ง ในฉับพลันอัศจรรย์ก็บังเกิดมีสุวรรณบัลลังก์ปรากฏขึ้นมารองรับในทันที สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยจึงมีปฏิสันถารกับพระมาลัย ว่า " ดูกรพระคุณเจ้า พระคุณเจ้ามาจากที่ใดขอรับ " พระมาลัยวิสัชนาว่า " ดูกรมหาบพิตร อาตมามาจากชมพูทวีป " เมื่อทราบว่าพระเถระมาจากชมพูทวีปจึงดี พระทัย รับสั่งถามข่าวคราวของมนุษย์ทั้งหลายว่า " ดูกรพระคุณเจ้า ชมพูทวีปขณะนี้พวกมนุษย์พากันทำมาหากินอย่างไรกันบ้างขอรับพระคุณเจ้า "


พระมาลัยจึงวิสัชนาว่า " บางพวกก็ค้าขาย บางพวกก็เข็ญใจไร้ทรัพย์ บางพวกก็ทำการเกษตรกสิกรรม บางพวกก็ทำการประมงหาเลี้ยงชีพที่สุขสบายก็มี ที่เดือด ร้อนทุกข์เข็ญก็มากโข มหาบพิตร " สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยจึงมีปุจฉาต่อว่า " ดูกรพระคุณเจ้า แล้วส่วนมากพวกเขาทำบุญทำทานการกุศลกันบ้างหรือไม่ หรือ จักทำแต่เรื่องบาปหยาบช้า ขอรับพระคุณเจ้า"




พระมาลัยจึงวิสัชนาว่า " ดูกรมหาบพิตร พวกที่ทำบุญทานการกุศลนั้นมีน้อย ส่วนคนถ่อยบาปหยาบช้ากลับมีมากนับไม่ถ้วน "




ลำดับนั้นสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยใคร่จักทราบถึงวิธีการทำบุญของเหล่าชาวชมพูทวีปจึงขอให้พระมาลัยวิสัชนา พระมาลัยจึงกล่าวว่า " มนุษย์บางพวกก็ให้ ทานรักษาศีล บางพวกก็จัดให้มีพระธรรมเทศนาพร้อมกับป่าวประกาศให้ชาวประชามารับฟัง บ้างก็สร้างวัดวาอารามศาลากุฎี บ้างก็สร้างสถูปเจดีย์แลพระพุทธรูป ไว้ในพระศาสนา บ้างก็ถวายเสนาสนะคิลานเภสัชแด่พระภิกษุสงฆ์ บ้างก็มีเจตจำนงถวายภัตตาหารบิณฑบาตตลอดจนสบงจีวรแด่พระภิกษุ บ้างก็เป็นบุตรกตัญญู เลี้ยงดูบำรุงบิดามารดา บ้างก็สร้างพระคัมภีร์ไตรปิฎก สุดแท้แต่กำลังแห่งทรัพย์แลปัญญาของตน มหาบพิตร "




เมื่อสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยได้ทราบถึงวิธีการทำบุญกุศลของชาวชมพูทวีปแล้วพระองค์จึงถามถึงมโนปนิธานในการทำบุญนั้นว่าหวังผลในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือนิพพานสมบัติ พระมาลัยตอบว่า " ดูกรมหาบพิตร อันมนุษย์ทั้งหลายที่หมายทำบุญกุศลด้วยมิได้หวังผลในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือ นิพพานสมบัติแต่อย่างใดกลับมุ่งหมายให้ได้เกิดทันศาสนาของพระองค์ทั้งนั้นเป็นส่วนใหญ่ ที่หมายใจเป็นอย่างอื่นกลับมีน้อยเป็นอย่าง "




เมื่อพระศรีอาริยเมตไตยทรงสดับเช่นนั้นก็มีพระดำรัสตรัสฝากพระมาลัยไว้ว่า "ถ้าพวกเขาเหล่านั้นอยากเกิดทันศาสนาของข้าพระองค์ ก็จงอุตส่าห์ฟังธรรมมหา เวสสันดรชาดกให้จบทั้งหมดในวันเดียว แล้วบูชาด้วยธูปเทียน ดอกไม้อย่างละพันฉัตร อันประกอบด้วยดอกบัวหลวง ดอกบัวเขียว ดอกบัวขาว ดอกสามหาวอย่าง ละพัน ถ้าทำได้ดังนั้นก็จะพบกับศาสนาของข้าพระองค์




เมื่อข้าพระองค์ไปตรัสรู้ผู้นั้นได้ฟังพระธรรมเทสนาก็จะได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัทภิทา ส่วนคนบาปหยาบช้าหนาหนัก เช่นกระทำปิตุฆาต มาตุฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้า แลทำสังฆเภทให้หมู่สงฆ์เกิดการแตกแยกแตกความคิดไม่สามัคคี ทำลายพระเจดีย์แลพระพุทธรูป ตลอดจนคนที่ตระหนี่ถี่ เหนียวไม่รู้จักทำบุญให้ทาน ไม่รู้กาลเทศว่าบาปบุญคุณโทษ ดำรงตนอยู่ในความประมาท คนพวกนี้มิได้มีโอกาสพบศาสนาของข้าพระองค์เป็นแน่แท้ "




เมื่อพระมาลัยได้ฟังดังนั้นก็กำหนดจดจำไว้ในใจเพื่อว่าจะได้นำไปเทศนาสั่งสอนชาวประชาทั้งหลายให้ได้ปฏิบัติ แต่ยังมีข้อข้องขัดในใจจึงปุจฉาไปดังนี้ " ดูกรมหาบพิตร เมื่อชนทั้งหลายได้รู้ข้อวัตรปฏิบัติอันจะทำให้ได้ไปบังเกิดกำเนิดทันพระศาสนาของพระองค์แล้วไซร้ อาตมาภาพใคร่ขอความกระจ่างว่าเมื่อใดที่ พระองค์จะไปตั้งพระศาสนาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อกาลเวลาใดเล่า มหาบพิตร "




สิ้นพระศาสนาเข้าสู่กลียุค




เมื่อพระศรีอริยเมตไตยได้ฟังปุจฉาของพระมาลัยเถระถามถึงเรื่องการจะมาตรัสรู้ของพระองค์ในอนาคตกาลข้างหน้า จึงมีพระวิสัชนาดำรัสตรัสว่า อีกไม่นานดอกพระคุณเจ้า เมื่อครบถ้วนห้าพันปีสิ้นศาสนาของพระพุทธโคดมแล้ว ครั้งนั้นพวกสัตว์ทั้งหลายจะหน้ามืดตามัวประพฤติชั่วไม่รู้จักทำบุญกุศลสุจริต มีแต่จะคิดกระทำกรรมอันบาปหนาหยาบช้า ขาดหิริโอตตัปปะมิรู้จักละอายต่อ บาปกรรม แม่กับลูกจะอยู่กินด้วยกันเป็นสามีภรรยา พี่สาวกับน้องชาย พี่ชายกับน้องสาว พี่ป้าน้าอาลุงหลานก็จะสมสู่อยู่กินกันเป็นสามีภรรยามิรู้ว่าลูกเขาเมียใคร เมา มัวในกามา ใจบาปหยาบช้าเต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ประพฤติชั่วนานานัปการอันล่วงละเมิดศีลห้า ด้วยว่ามิมีผู้ใดจะดำรงทรงจำไว้ได้พระ สัจธรรมเสื่อมหาย พระสงฆ์ทั้งหลายคนก็มิรู้จัก ด้วยมักละเมิดพระวินัยบัญญัติตัดนั่นเติมนี่ในที่สุดก็มีความประพฤติดังเช่นฆราวาสผู้ครองเรือน ผ้าเหลืองแปดเปื้อน เป็นมลทินจึงเปลื้องออก ครั้นเมื่อมีกิจทางศาสนาจึงนำมาห่มคลุมเพื่อหากิน




ในที่สุดก็ลืมสื้นในวิธีการครองผ้าจึงฉีกบางส่วนออกมามัดไว้ที่คอ ข้อมือเพื่อหมายให้รู้ว่ามีอาชีพเป็นนักบวช ครั้นนานเข้าก็ขาดเปื่อยไปสิ้นคิดขี้เกียจสรรหามา ใหม่ในที่สุดแล้วไซร้ก็หมดซึ่งสีของผ้ากาสาวพัสตร์ ความชั่วกำเริบหนักหนาอายุของสรรพสัตว์ก็จะลดน้อยถอยลงตราบจนเหลือ ๑๐ ปี เด็กเกิดมาได้เพียง ๕ ปี ก็มี ระดูแต่งงานได้ อาหารทั้งหลายจะถอยถดหมดลงไป


ข้างฝ่ายเทพยดาพากันเอ็นดูหมู่สัตว์มีวิบากทั้งหลายก็จำแลงแปลงกายเป็นคนเสียสติบ้านุ่งผ้าแดงร้องบอกแก่สรรพสัตว์กลางตลาดร้านถิ่นว่าจักเกิดมิคสัญญีว่าวัน นั้นคืนนั้นจะมีการเข่นฆ่ากัน โดยบอกก่อนล่วงหน้าเป็นเวลา ๗ วัน ผู้ใดมีคุณธรรมแลสติปัญญาก็พากันจดจำหลีกหนีไปเสียได้เพียงแต่เล็กน้อย เข้าไปคอยอาศัยอยู่ ในถ้ำภูผากลางป่าเขา เหลือแต่เหล่าพวกหยาบช้าพากันไม่เชื่อถือในคำพูดของเทพยดาก็พากันเยาะเย้ยถากถางเข้ารุมกระทำอันตรายหมายจะเข่นฆ่า เทพยดาเจ้าก็เร้น กายหายวับกลับวิมานอันเป็นสถานที่อยู่แห่งตน



ครั้นเมื่อถึงวันกำหนดคนทั้งหลายพากันหิวกระหายออกหากินเป็นปกติวิสัย ครั้นเห็นหน้ากันไซร้ก็เข้าใจว่าเป็นเนื้อเป็นปลา จับอะไรได้เป็นต้นว่าท่อนไม้ผุก็กลับ กลายเป็นหอกดาบอาวุธศาสตรา เข้าทำการเข่นฆ่าไล่ทิ่มแทงกันจนล้มตายเป็นอันมากเหลือจะประมาณได้กลายเป็นมิคสัญญีกลียุควุ่นวายเป็นหนักหนาจนเข่นฆ่ากัน หมดสิ้น


ข้างฝ่ายพวกที่มีสติปัญญาวิชาความรู้ซ้อนเร้นอยู่ตามเถื่อนถ้ำเงื้อมผาป่าดงลึกสุด ครั้นเมื่อมนุษย์บ้าดีเดือดทั้งหลายฆ่าฟันกันจนหมดสิ้น ก็พากันออกจากที่ซ่อน กำบัง ครั้นมาพบกันเข้าก็ดีใจเหลือกำลังสวมกอดกันเข้าว่าเรานี้หนายังมีสหายรอดตายเหลืออยู่ ต่างก็พากันปรึกษาหารือกันว่า




อันความฉิบหายที่เกิดแก่พวกเราในครั้งนี้ก็เพราะมีความประมาทพลาดพลั้งในกรรมดี มีแต่ก่อบาปหยาบช้าเป็นส่วนใหญ่ แต่นี้ต่อไปในเบื้องหน้าพวกเราจง อุตส่าห์กระทำแต่กรรมดีมีศีลธรรมเว้นจากการฆ่าสัตว์ ประหัตประหารกัน เว้นเสียจากการลักขโมยฉ้อฉลหลอกลวงกัน เว้นเสียจากการผิดลูกผิดเมียไม่มัวเมาในกาเม มิจฉาจารปราศจากการพูดเท็จ งดเว้นจาการพูดคำหยาบช้า ไม่พูดจาส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ เว้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเห็นที่ผิดจากธรรมนอง คลองธรรม เมื่อคนมีสติปัญญาปรึกษากันแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญบุญกุศลมีให้ทานรักษาศีลเป็นต้น




ครั้นคนเหล่านี้มีลูกหลานสืบสายตระกูล ลูกก็จะอายุยืนได้ ๓ ปี มีหลานหลานก็อายุยืนขึ้นเป็น ๕ ปี จะเจริญไปดังนี้เป็นลำดับ ตราบเท่าอายุมนุษย์เจริญได้ถึง อสงไขยหนึ่งความแก่แลความตายไม่ปรากฏให้เห็นซึ่งหน้า ครานี้มนุษย์ก็จะมีความประมาทไม่ตั้งมั่นในความดี อายุของเขาเหล่านี้ก็จะเสื่อมถอยลงมาเป็นลำดับดังนี้ เหลือเพียงแปดหมื่นปีครานี้ก็จักเข้าสู่ยุคของข้าพระองค์ ขอรับพระคุณเจ้า "




ยุคพระศรีอารีย์


เมื่อสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ตรัสถึงกลียุคจนถึงมนุษย์อายุเสื่อมถอยน้อยลงมาถึงแปดหมื่นปีแล้วจึงตรัสต่อว่า ครั้นเมื่ออายุมนุษย์ลดน้อยถอยลงได้แปดหมื่นปีตอนนั้นจักมีฝนตกทุกๆ ๑๕ วัน แลส่วนมากนั้นจักตกแต่เพลาใกล้รุ่ง ทำให้มนุษย์มีความชุ่มชื่นใจพื้นดินกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์ แม่น้ำลำคลองมีกระแสน้ำไหลขึ้นข้าง หนึ่งไหลลงข้างหนึ่ง เต็มเปี่ยมเพียบฝั่งไม่มีพร่อง ไม่มีล้นเป็นอยู่อย่างนี้เสมอ ดอกไม้นานาพรรณผลิดอกออกช่อบานสะพรั่งตลอดกาล




บ้านเรือนจะปลูกอยู่ใกล้ๆกันพอไก่บินถึง ปราศจากโจรผู้ร้าย บริบูรณ์ไปด้วยน้ำแลข้าวปลาอาหาร ผัวเมียจะไม่รู้จักวิวาทกัน ผู้ชายไม่ต้องทำไร่นาค้าขาย ผู้หญิงก็ ไม่ต้องทอหูกปั่นฝ้าย ผ้านุ่งผ้าใช้ล้วนแต่เป็นของทิพย์ อำมาตย์ข้าราชการตั้งมั่นอยู่ในความสุจริตธรรม ไม่เบียดเบียนอาณาประชาราษฎร์ให้เดือดร้อน พระมหากษัตริย์จะไม่มีความกริ้วโกรธถือโทษลงพระราชอาญา มีน้ำพระทัยรักใคร่กรุณาแก่ประชาชนทวยราษฎร์


บรรดาสรรพสัตว์ที่เป็นศัตรูกันทั้งหลายเช่นกากับนกเค้า แมวกับหนู งูกับพังพอน หมีกับไม้สะคร้อ ทั้งหมดก็จะแผ่เผื่อเมตตาจิตต่อกันเลิกเป็นคู่เวรคูกรรมต่อกัน สรรพสัตว์อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เครื่องใช้ไม้สอยมีอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง แผ่นดินใหญ่กว้างล้วนราบเรียบเป็นหน้ากลอง ไม่มีหลักตอเสี้ยนหนาม คนทั้งหลายรูป งามเหมือนกันหมด ไม่มีคนใบ้บ้า คนหูหนวกตาบอดง่อยเปลี้ยเสียขาพิกลพิการก็ไม่มีแต่อย่างใด ทุกคนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน เห็นกันเข้าก็มีแต่รักใคร่ไมตรีอันดี ต่อกันหาศัตรูหรือรู้จักโกรธให้กันก็ไม่มี ในครั้งนี้บุรุษจะมีภรรยารักคนเดียว สตรีก็จะมีสามีคนเดียวกลมเกลียวรักใคร่ปองดองกัน ไม่มีการล่วงประเวณี แลคนในยุคนี้ มีแต่ความผาสุขสมบูรณ์มากไม่ต้องลำบากในการหากิน เพียงตั้งภาชนะปิดฝาเอาไว้ครั้นอยากกินสิ่งไรเปิดภาชนะก็ได้กินสิ่งนั้น




ครั้นว่าบริโภคโภชนากระยาหารอิ่มหนำสำราญแล้วอาหารนั้นก็อันตรธานหายไปไม่ต้องเก็บต้องล้าง ข้าวของทุกอย่างใช้สอยแต่เครื่องทิพย์ มีกิจอยู่แต่นั่งกับนอนฟังเสียงอันเป็นทิพย์ไพเราะนักหนาอันเกิดจากเวลาลมพัดต้องหมู่ไม้ใบพฤกษาก็สั่นไหว เป็นเสียงทิพยดนตรีมีความไพเราะเป็นหนักหนา ทุกคนถ้วนหน้ามีสมบัติเหมือนกันหมด ปราศจากกำพร้าอนาถา ปราศจากคนชราหรือเข็ญใจไร้ทรัพย์สมบัติ อันเหตุวิวาทแก่งแย่งชิงเอาบ้านเรือนไร่นาของกันและกันนั้นไม่มีเลย แลยุคนั้นนี้มีพืชข้าวกล้าเพียงเม็ดเดียว หากตกลงเหนือพื้นแผ่นดินแล้วก็งอกขึ้นเป็นต้นเป็นลำเป็นปล้องเป็นหน่อ แลเป็นกอใหญ่ๆออกไปได้หลายร้อยเท่าพันทวี ทั้งหมดเป็นดังนี้ก็เพราะข้าพระองค์ได้สร้างสมบุญบารมีเอาไว้มาก




ในศาสนาของข้าพระองค์ไม่มีคนบ้า คนใบ้ ด้วยเหตุที่ข้าพระองค์ไม่เคยพูดเท็จหลอกลวงใครๆ ไม่มีคนตาบอดเพราะข้าพระองค์มองสมณะ ผู้มีศีลแลยาจกวนิพกเข็ญใจด้วยนัยน์ตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักใคร่สงสาร ไม่มีคนง่อยเปลี้ยเสียขาเพราะเวลาทำบุญทานข้าพระองค์ยืนตรงเสมอ ไม่มีคนเจ็บไข้ได้ป่วยไร้โรคาพยาธิ์ก็เพราะข้าพระองค์ถวายยาเป็นทานอยู่เสมอเนืองนิจ ไม่มีมารผจญเพราะข้าพระองค์ไม่เคยทำให้คนหรือสัตว์นั้นตกใจ ในศาสนาของข้าพระองค์ไม่มีใครขี้ริ้วขี้เหร่ มีแต่คนรูปงามเพราะยามข้าพระองค์ให้ทานให้แต่ของอันเป็นที่รักแก่ยาจกวนิพกตลอดจนสมณพราหมณ์เสมอ




ในศาสนาของข้าพระองค์ทุกคนได้ไปสวรรค์ทุกคนเพราะข้าพระองค์ให้ช้างม้าราชรถยวดยานพาหนะเป็นทาน ในศาสนาของข้าพระองค์นั้นแผ่นดินราบเรียบเสมอกันหมดเพราะข้าพระองค์แผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์เสมอ คนในศาสนาของข้าพระองค์มั่นคงสมบูรณ์ด้วยทัพย์สินโภคาเพราะเหตุว่าข้าพระองค์ให้ทานแก่ผู้ยากไร้เข็ญใจด้วยทรัพย์สิ่งของเงินทองตามที่ เขาปรารถนาอยู่เนืองนิตย์โดยทั่วถึง




ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพระองค์บำเพ็ญบารมีมาช้านานถึง ๑๖ อสงไขยแสนกัป บารมี ๓๐ ทัศนั้นก็ได้บำเพ็ญมาอย่างพร้อมมูลแล้ว ข้าพระองค์จะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อโปรดสัตว์ทั้งหลาย โดยจะเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลอันบริบูรณ์ด้วยสมบัติ พระบิดานั้นทรงพระนามว่า สุพรหมพราหมณ์




เป็นปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิราช พระมารดานั้นทรงพระนามว่า เหมวดีพราหมณี พระอัครสาวกเบื้องขวามีนามว่า พระอโสกเถระ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายมีนามว่า พระสุพรหมเถระ พระอัครสาวิกาเบื้องขวามีนามว่า พระปทุมาเถรี พระอัครสาวิกาเบื้องซ้ายมีนามว่า พระสุมนาเถรี อุบาสกพุทธอุปัฏฐากมีนามว่า สุทัตตคหบดีคนหนึ่ง แลนามว่า สังฆหบดีคนหนึ่ง อุบาสิกาพุทธอุปัฏฐากมีนามว่า ยสปวดีอุบาสิกาคนหนึ่ง แลนามว่า สังฆอุบาสิกาคนหนึ่ง




มีไม้กากะทิงเป็นไม้ที่ตรัสรู้ ขนาดลำต้นจากพื้นไปถึงคาคบ ๑๒๐ ศอก จากคาคบไปถึงยอด ๑๒๐ ศอก รวมจากพื้นถึงยอดปลายสุด ๒๔๐ ศอก ไม้นี้มีกิ่งใหญ่ ๔ กิ่งทอดออกไปในทิศทั้ง ๔ มีความยาวกิ่งละ ๑๒๐ ศอก มีดอกเท่ากงล้อรถแต่ละดอกมีเกสรได้ทันานหนึ่ง มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไปไกลถึง ๕๐๐ โยชน์




ตอนที่ข้าพระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นมีพระวรกายสูงได้ ๘๘ ศอก จากพื้นพระบาทถึงพระชานุ ๒๒ ศอก จากพระชานุถึงพระนาภี ๒๒ ศอก จากพระนาภีถึงพระรากขวัญ ๒๒ ศอก จากพระรากขวัญถึงพระอุณหิส ๒๒ ศอก พระชนมายุได้แปดหมื่นปีจึงปรินิพพาน ศาสนาของข้าพระองค์นั้นยืนยาวได้ ๘,๐๐๐ ปีจึงหมดสิ้นขอรับพระคุณเจ้า"


กาลที่พระศรีอาริยเมตไตยจะลงมาโปรดสัตว์

เมื่อพระมาลัยเถระได้สดับคำวิสัชนาของพระมหาโพธิสัตว์ตรัสถึงชีวิตความเป็นอยู่ในยุคสมัยของพระองค์แล้วก็ มีใจสงสัยด้วยว่ายังไม่กำหนดกาลเวลาว่าจะลงมาโปรดสัตว์เมื่อใด จึงปุจฉาไปดังนี้ว่า ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพได้สดับตามที่พระองค์ทรงเล่ามายังกำหนดไม่ได้ว่าพระองค์จะลงไปโปรดมนุษย์เมื่อใด




สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยจึงตอบไปดังนี้ว่า " ดูกรพระคุณเจ้า ก็ตอนที่ข้าวสาลีเม็ดเดียวบังเกิดเป็นข้าวสารร้อยเจ็ดสิบเม็ด จุเต็มสองเล่มเกวียนกับสิบหกสัดใหญ่ ๆ เท่ากับสองกระบุงเมื่อใด ก็เมื่อนั้นแลพระคุณเจ้าที่ข้าพระองค์จะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ โดยครั้งแรกจะเป็นมนุษย์ธรรมดาก่อน




กระทำสัตตสดกมหาทานบริจาคลูกเมียเป็นทานเหมือนพระเวสสันดรก่อน แล้วจะกลับขึ้นมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตสิ้นระยะหนึ่ง จนถึงเมื่อสัตว์ทั้งหลายมีอายุไขยน้อยลงไปจากอสงไขยเหลือเพียงแปดหมื่นปี ชมพูทวีปนี้กลับบริบูรณ์มีเม็ดข้าวสาลีเพียงเม็ดเดียวแต่ให้ผลมากมายดังก่อน ก็ตอนนั้นแลข้าพระองค์จะลงไปบังเกิดในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดยเหล่าเทพยดาในหมื่นจักรวาลมีท้าวมหาพรหมเป็น ประธานมาอัญเชิญให้ไปจุติ




***การกระทำสัตตสดกมหาทาน คือการบริจาคสิ่งของเป็นทานเจ็ดอย่าง อย่างละ ๗๐๐ มี






๑. ช้าง ๗๐๐ ตัว ๒. ม้าอาชาไนย ๗๐๐ ตัว ๓. โคนม ๗๐๐ ตัว ๔. ทาสหญิง ๗๐๐ คน ๕. ทาสชาย ๗๐๐ คน ๖. ราชรถ ๗๐๐ คัน ๗. นางสนม(หญิงผู้ดีมีสกุล) ๗๐๐ นาง




อ่านว่า สัต-ตะ-สะ-ดก-มะ-หา-ทาน มาจากคำว่า สัตตะที่แปลว่า เจ็ด สดก มาจากคำว่า สตกะ ที่แปลว่า ๑๐๐ อีกคำหนึ่งอ่านว่า ปิ-ยะ-ปุต-ตะ-ทา-ระ-ทาน ปิยะแปลว่า ผู้เป็นที่รัก ปุตตะ แปลว่า ลูก ทาระ แปลว่าเมีย***




เมื่อข้าพระองค์นี้ได้สดับรับฟังคำอัญเชิญของเทพยดาทั้งหลาย ก็จะใช้ทิพยญาณเล็งเห็นโลกด้วยเหตุห้าประการ คือ กาลอันเหมาะสม ๑ ประเทศที่เหมาะสม ๑ ทวีที่เหมาะสม ๑ ตระกูลมารดาที่เหมาะสม ๑ แลสัตว์ทั้งหลายอีก ๑ ตามเยี่ยงอย่างพระบรมโพธิสัตว์แต่ก่อนมาพิจารณาตามธรรมเนียมประเพณีก่อนที่จะมาจุติ ด้วยที่พิจารณาดูกาลอายุสัตว์ในครั้งนั้นว่าไม่มากกว่าแสนปีขึ้นไป ไม่น้อยกว่าร้อยปีลงมา เพราะถ้าสัตว์มีอายุมากกว่าแสนปี ก็ความแก่ความตายนี้จะไม่ค่อยบังเกิด ปรากฏให้เห็น สรรพสัตว์ฟังพระธรรมเทศนาแล้วไม่เห็นว่าสังขารเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแต่อย่างใดก็จะไม่เชื่อถือในพระสัจธรรม มรรคผลก็จะไม่บังเกิดขึ้น พระธรรมเทศนาก็จะไร้ประโยชน์




อีกประการหนึ่งถ้าสัตว์อายุน้อยกว่าร้อยปีลงมาก็หาเป็นการสมควรที่พระพุทธเจ้าจะลงไปตรัสรู้ไม่ เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายพวกนี้ยังมีกิเลสหนากล้านักจักรับ โอวาทเพียงต่อหน้าลับหลังมาก็จะพากันละทิ้งเสียไม่ผิดอะไรกับขีดรอยในน้ำก็จะกลับคืนดังเก่า ดังนั้นเล่ากาลที่เหมาะสมสำหรับการไปตรัสรู้จึงอยู่ในระหว่างแสนปี ลงมาและมากกว่าร้อยปีขึ้นไป




ประการที่สองก็คือพิจารณาทวีปใหญ่ทั้งสี่มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารนั้นก็เห็นว่าโดยพุทธประเพณีอันพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะมีพระประสูติกาลทุกพระองค์ นั้นจะไปบังเกิดในชมพูทวีปแห่งเดียวอันเป็นมัชฌิมประเทศที่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอสีติมหาสาวก พระเจ้าจักรพรรดิราช แลชนผู้มีบุญญาธิการ มากมักลงมาเกิดเป็นส่วนมาก




ประการที่สามพิจารณาประเทศอันเป็นสถานที่กำเนิด ในครั้งนั้นกรุงพาราณสีจะมีชื่อนครว่ามัณฑารนคร กว้างใหญ่ได้สิบสองโยชน์พวกมนุษย์ถอยถดอายุ จากอสงไขยด้วยความประมาทเหลือเพียงแปดหมื่นปี แลกรุงมัณฑารนี้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เกตุมบดีนคร จักบริบูรณ์สถาพรด้วยวัตถุสิ่งของทั้งปวง จึงควรที่จะบังเกิดในกรุงเกตุมบดีนครนี้




ประการที่สี่พิจารณาถึงตระกูลอันสมควรตามประเพณีที่สมเด็จพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไปบังเกิดในตระกูลอันชาวโลกนับถือ คือตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ตามที่เคยมีมา ก็ตอนนั้นแลถือกันว่าตระกูลพราหมณ์ประเสริฐเลิศที่สุด จึงสมควรที่จะลงไปบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ซึ่งเป็นปุโรหิตผู้ใหญ่ของพระเจ้าสังขจักร

ประการที่ห้าสุดท้ายพิจารณาว่าผู้ใดควรจะเป็นพุทธบิดาพุทธมารดาที่บำเพ็ญบารมีนับเนื่องกัน ก็รู้ว่าสุพรหมพราหมณ์นั้นควรเป็นพุทธมารดา นางเหมวดี พราหมณีควรที่จะเป็นพุทธมารดา ขอรับพระคุณเจ้า ส่วนนางอนุลาเทวีเป็นคู่สร้างบารมีของข้าพระองค์จะได้เป็นอัครมเหสีมีนามว่า นางจันทมุขี โอรสคือเจ้าสาลี พระโอรสแห่งพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินีสร้างบารมีร่วมกันมาจะได้เป็นโอรสมีนามว่า พรหมวดีกุมาร




กาลที่ข้าพระองค์จะออกผนวชนั้นจะมีเทวฑูตสำแดงบุพนิมิต ๔ ประการ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แลนักบวช ปราสาทที่อยู่ของข้าพระองค์จักลอยไปกลางอากาศ เมื่อข้าพระองค์ผนวชแล้วบำเพ็ญเพียรประมาณเจ็ดวันตกวันที่เจ็ดจะไปนั่งที่ควงไม้กากะทิงแล้วได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อโปรดสัตว์ ขอรับพระคุณเจ้า "


ครั้นพระบรมโพธิสัตว์ตรัสมาถึงตรงนี้ก็มีพระราชดำรัสอันเป็นปัจฉิมสมัยว่า " ข้าแต่พระคุณเจ้า ครั้นเมื่อกลับไปยังโลกมนุษย์แล้วจงบอกแก่ชาวชมพูทวีปด้วยว่า อย่าได้สร้างเวรทั้งห้า คืออย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่าคิดหรือลักขโมยข้าวของเงินทอง อย่าล่วงหรือปองผิดประเวณีลูกเมียผู้อื่น อย่าได้ฝืนกล่าวลวงโป้ปดมดเท็จ อย่าได้ เสพสุราเมรัย ให้สมาทานในพระอุโบสถศีล ละเว้นอนันตริยกรรมทั้งห้าประการ ให้หมั่นสร้างกุศลผลทานแล้วจะได้พบพานศาสนาของข้าดังประสงค์ ขอพระคุณ เจ้าจงสั่งสอนเขาดังนี้ตามที่ข้าพระองค์บอกเอาไว้เถิด ขอรับพระคุณเจ้า "

ครั้นเมื่อสั่งเสร็จองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ก็นมัสการลาพระเถระ ลุกขึ้นกระทำอภิวาทประทักษิณพระเจดีจุฬามณีเจดีย์แล้วเสด็จกลับพร้อมด้วยเหล่าบริวาร เหาะลอยผ่านท้องฟ้าขึ้นสู่นภากาศตรงไปยังดุสิตพิภพอันเป็นที่อยู่ของพระองค์ ส่วนพระมาลัยก็ถวายพระพรลาพระอินทราธิราช ถวายอภิวาทนมัสการ พระเจดีย์จุฬามณีกระทำประทักษิณสิ้นสามรอบแล้วจึงกลับลงมาสู่โลกมนุษย์ดังเดิม




ครั้นเมื่อวันต่อมาเวลาพระเถระออกโปรดสัตว์รับบิณฑบาตชาวบ้านกัมโพชคามตามปกติ ก็สั่งสอนชาวบุรีทั้งหลายตามที่ได้รับมอบหมายมาจาก พระศรีอาริยเมตไตย ฝ่ายมหาชนทั้งหลายครั้รได้ฟังคำบอกเล่าของพระเถระก็ตั้งหน้ามุ่งมั่นในการทำบุญกุศลมากขึ้นเป็นทวีคูณ ครั้นสิ้นบุญก็ได้ไปกำเนิดในสวรรค์โดยทั่วกันแล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น